แม่มดน้อยกิกิ ในค่ำคืนที่แสงจันทร์ทอดตัวอาบไล้ทั่วหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางภูเขา เสียงเพลงจากวิทยุเครื่องเล็กดังแผ่วเบา แม่มดสาววัยกลางคนกำลังนั่งเย็บผ้าข้างเตาไฟ ส่วนลูกสาวตัวน้อยของเธอกำลังนอนฟังข่าวเกี่ยวกับสภาพอากาศด้วยดวงตาเป็นประกาย กิกิ เด็กหญิงวัย 13 ปีผู้เป็นลูกครึ่งแม่มด ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างอ่อนโยนในครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่น แม่ของเธอเป็นแม่มดที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา ส่วนพ่อเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้ทำงานในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ทั้งสองต่างรักและสนับสนุนลูกสาวเพียงคนเดียวของตนอย่างเต็มที่
ตามธรรมเนียมโบราณของเหล่าแม่มด ทุกคนที่มีสายเลือดแม่มดจะต้องออกเดินทางเมื่ออายุครบสิบสามปี เพื่อไปใช้ชีวิตในเมืองอื่นเป็นเวลา 1 ปี ฝึกฝนตนเอง เรียนรู้การใช้เวทมนตร์ และค้นหาหนทางที่จะเติบโตเป็นแม่มดที่สมบูรณ์แบบ เมื่อถึงเวลานั้น กิกิก็เฝ้ารออย่างตื่นเต้น เธอเลือกคืนเดือนเพ็ญที่ฟ้าสดใสเป็นวันออกเดินทาง แม้แม่ของเธอจะยังห่วงที่ลูกยังฝึกเวทได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะการควบคุมไม้กวาดที่ยังไม่มั่นคง แต่กิกิก็ยืนยันจะออกเดินทางตามความฝัน ในคืนที่ลมพัดแรงเธอสวมชุดแม่มดสีดำพร้อมโบว์แดงสดบนศีรษะ อันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว และออกเดินทางพร้อมเพื่อนคู่ใจ “จิจิ” แมวดำพูดได้ที่ช่างประชดประชันแต่ก็รักเธออย่างลึกซึ้ง ทั้งสองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องสูง ทิ้งหมู่บ้านอันคุ้นเคยไว้เบื้องหลัง เสียงลมและกลิ่นทะเลเริ่มเข้ามาแทนที่กลิ่นดอกไม้จากบ้านเกิด เป็นสัญญาณของการผจญภัยครั้งใหม่ที่กำลังเริ่มต้น
หลังจากบินผ่านป่า เมฆ และภูเขามานานหลายชั่วโมง ในที่สุด กิกิก็พบเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมทะเล ชื่อว่า “โคริโกะ” เมืองแห่งอ่าวสีน้ำเงินกว้างใหญ่ที่รายล้อมด้วยอาคารสูงเรียงราย ถนนที่คึกคัก และผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ เมืองนี้เต็มไปด้วยกลิ่นของเกลือทะเล ผสมกับเสียงระฆังจากหอคอยกลางเมืองที่กังวานเป็นจังหวะ กิกิรู้สึกตื่นเต้นและตกตะลึงในเวลาเดียวกัน เธอคิดว่าที่นี่แหละคือสถานที่ที่เหมาะจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ความจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเธอเดินไปตามถนนเพื่อหาที่พักและแนะนำตัวกับชาวเมือง ผู้คนส่วนใหญ่กลับมองเธอด้วยสายตาแปลกประหลาด บางคนหัวเราะ บางคนเดินหนี เพราะในยุคสมัยใหม่นี้ แม่มดกลายเป็นเรื่องหายาก หลายคนแทบไม่เชื่อว่าแม่มดจะยังคงมีอยู่จริง กิกิรู้สึกทั้งอายและโดดเดี่ยว จนกระทั่งโชคชะตานำพาให้เธอได้พบกับ “โอโซโนะ” หญิงสาวเจ้าของร้านขนมปังที่กำลังตั้งท้องได้หลายเดือน
วันนั้นเองขณะที่โอโซโนะกำลังวุ่นวายอยู่ในร้าน มีลูกค้าลืมของไว้ กิกิอาสาใช้ไม้กวาดบินไปส่งของให้ เธอบินฝ่าลมเหนืออ่าวไปยังอีกฟากเมืองจนถึงบ้านลูกค้าผู้หญิงใจดีที่รับของไว้ด้วยความประทับใจ เมื่อกิกิกลับมาถึงร้าน โอโซโนะรู้สึกชื่นชมและเอ็นดูในความมีน้ำใจของเธอ จึงชวนให้กิกิมาพักอยู่บนห้องชั้นสองของร้านขนมปัง พร้อมให้เธอช่วยงานส่งของด้วยไม้กวาดแทนค่าที่พักและอาหาร นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “Kiki’s Delivery Service” บริการจัดส่งของโดยแม่มดน้อย ชีวิตในเมืองโคริโกะเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ไม่ขาดสีสัน กิกิใช้เวลาในแต่ละวันช่วยโอโซโนะอบขนมปัง ยกของ และส่งขนมตามบ้านต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม เธอได้รู้จักผู้คนหลากหลาย ทั้งเจ้าของร้านเสื้อผ้า คนสวน คุณยายใจดี รวมถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อ “ทอมโบะ” เด็กชายผู้หลงใหลในการบินและมีความฝันอยากเหาะได้เหมือนแม่มด
ทอมโบะพยายามเข้ามาทำความรู้จักกับกิกิอยู่เสมอ เขาเต็มไปด้วยพลังและความร่าเริง แต่กิกิกลับรู้สึกอายและระแวง เพราะเธอยังไม่คุ้นกับการเข้าสังคมของเมืองใหญ่ ความอ่อนโยนของทอมโบะค่อย ๆ ทะลายกำแพงใจของกิกิลงทีละน้อย เขาเชิญเธอไปชมชมรมเครื่องบินกลไกของเขา และบอกว่าอยากให้เธอมาดูเครื่องร่อนที่เขากำลังสร้าง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการเห็นเธอบินครั้งแรก แต่ขณะที่ชีวิตเริ่มลงตัว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น วันหนึ่งขณะกิกิกำลังจะไปส่งของให้ลูกค้าคนหนึ่ง ฝนก็ตกหนัก เธอพยายามบินฝ่าพายุจนเปียกโชกไปทั้งตัว แต่เมื่อถึงบ้านลูกค้า กลับพบว่าของที่เธออุตส่าห์รักษาไว้อย่างดี ถูกเมินเฉย ลูกค้าสาวคนนั้นแสดงท่าทีรังเกียจและไม่สนใจสิ่งที่เธอส่งให้ ความรู้สึกท้อแท้และโดดเดี่ยวค่อย ๆ กัดกินหัวใจของกิกิ จนในที่สุด เธอเริ่มสูญเสียพลังเวทมนตร์ ทั้งไม้กวาดไม่ยอมลอยขึ้น และจิจิก็เริ่มพูดกับเธอไม่ได้อีกต่อไป
สำหรับแม่มดการสูญเสียพลังเวทมนตร์ไม่ใช่เพียงปัญหาทางกาย แต่เป็นการสูญเสียศรัทธาในตนเอง กิกิพยายามทุกวิถีทางที่จะบินได้อีกครั้ง แต่ยิ่งพยายามยิ่งล้มเหลว เธอจึงตัดสินใจหยุดพักจากงานส่งของและหนีไปอยู่ที่บ้านไม้กลางป่าของศิลปินสาวชื่อ “อูร์สุลา” อูร์สุลา เป็นคนรักอิสระ เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายกับธรรมชาติและวาดภาพเป็นอาชีพ เธอพูดคุยกับกิกิอย่างเข้าอกเข้าใจ ทำให้แม่มดน้อยค่อย ๆ เปิดใจและเริ่มตระหนักว่าพลังของเธอไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่หัวใจของเธอยังไม่มั่นคงเท่านั้น อูร์สุลาเล่าให้ฟังว่าในวันที่เธอไม่สามารถวาดภาพได้เลย เธอก็รู้สึกเหมือนกิกิทุกอย่าง แต่เธอเรียนรู้ว่าแรงบันดาลใจไม่ได้มาจากสิ่งภายนอก แต่อยู่ในใจของเราเอง ถ้าเราเปิดใจรับความไม่สมบูรณ์แบบ เราก็จะพบทางของเราอีกครั้ง คำพูดนั้นฝังลึกในใจของกิกิ และเมื่อเธอกลับเข้าเมือง เธอก็เริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น เธอไม่ใช่เพียงเด็กหญิงที่อยากบินได้อีก แต่คือแม่มดที่เริ่มเติบโตจากประสบการณ์ทั้งความสุข ความเจ็บ และความผิดหวัง
แล้ววันหนึ่งโอโซโนะก็ส่งข่าวว่า ทอมโบะประสบอุบัติเหตุ เครื่องร่อนที่เขาทดลองบินใกล้ชายฝั่งถูกพายุพัดเสียหาย เขากำลังห้อยอยู่กลางอากาศและอาจตกได้ทุกเมื่อ กิกิวิ่งออกจากร้านโดยไม่คิดอะไร แม้พลังเวทยังไม่กลับมาเต็มที่ เธอคว้าไม้กวาดของคนกวาดถนนมาขี่แทน แล้วพยายามรวมสมาธิทั้งหมดที่มี เพื่อให้มันลอยขึ้น เธอหลับตาแน่น สูดลมหายใจ และในชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเธอก็เชื่อมั่นอีกครั้ง ไม้กวาดค่อย ๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือท้องทะเล กิกิบังคับมันอย่างกล้าหาญ แม้จะสั่นไหวไม่มั่นคง แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอพุ่งตรงไปยังทอมโบะที่กำลังเกาะเชือกของเรือเหาะอยู่กลางพายุ และด้วยจังหวะสุดท้าย เธอก็ยื่นมือคว้าเขาไว้ได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงเฮจากผู้คนทั้งเมืองที่เฝ้ามองอยู่เบื้องล่าง
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้กิกิได้รับการยอมรับจากชาวเมืองโคริโกะอย่างแท้จริง ผู้คนเริ่มเข้าใจว่าแม่มดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือส่วนหนึ่งของโลกที่ยังเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เธอกลับมาทำงานส่งของอีกครั้งด้วยความมั่นใจใหม่ พลังเวทของเธอกลับมาเต็มเปี่ยม จิจิก็กลับมาพูดได้อีกครั้ง และกิกิก็ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญที่สุดในชีวิต การเติบโตไม่ได้หมายถึงการเป็นแม่มดที่สมบูรณ์แบบ แต่คือการยอมรับตนเองในทุกด้าน ทั้งความกล้า ความอ่อนแอ และความไม่สมบูรณ์ ในตอนท้ายของเรื่องเราเห็นภาพกิกิบินอยู่เหนือเมืองที่ตอนนี้กลายเป็นบ้านหลังใหม่ของเธอ โอโซโนะคลอดลูกอย่างปลอดภัย อูร์สุลากำลังวาดภาพอยู่ในป่า ส่วนทอมโบะกำลังโบกมืออยู่เบื้องล่างด้วยรอยยิ้มสดใส เสียงลมพัดผ่านแผ่วเบาในยามเย็นของเมืองชายทะเล แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องไปบนผืนทะเลที่ระยิบระยับ เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง กิกิยังคงบินต่อไป เหมือนเช่นความฝันของเด็กหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยสั่นไหวกลางพายุ แต่บัดนี้ เธอได้เรียนรู้แล้วว่า การโบยบินที่แท้จริง ไม่ได้มาจากไม้กวาดหรือเวทมนตร์ใด ๆ แต่มาจากหัวใจที่กล้าเชื่อมั่นในตัวเอง
รูปแบบสไตล์หนังเรื่อง แม่มดน้อยกิกิ
สไตล์หนังเรื่อง แม่มดน้อยกิกิมีภูมิทัศน์เป็นเมืองริมทะเลที่กว้างใหญ่ มีอาคารพาสเทล ถนนลาดยางเล็ก ๆ และร้านค้าริมทาง แสงและเงาใช้แบบนุ่มนวล ไม่ตัดคม ทำให้ภาพดูเรียบง่าย อ่อนโยน และเหมาะกับเรื่องราวชีวิตประจำวันของแม่มดน้อย แม่มดน้อยวัย 13 ปี สดใส ใสซื่อ แต่มีความกล้าและมุ่งมั่น ชุดแม่มดสีดำ+โบว์แดงเป็นเอกลักษณ์ เคลื่อนไหวลื่นไหล สื่อถึงการบิน การโบกไม้กวาด การเคลื่อนที่ในเมือง มีความหวานแบบมิตรภาพและความใสซื่อของวัยเด็ก แต่แฝงปรัชญาการเติบโต
สรุปรีวิวหนัง แม่มดน้อยกิกิ
แม่มดน้อยกิกิ เรื่องราวของการเติบโตที่อ่อนโยนและงดงามที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกอนิเมะ บอกเล่าการเดินทางของเด็กหญิงที่ออกจากบ้านเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต และได้พบว่า “บ้าน” ไม่ได้อยู่ที่ใดบนโลก หากแต่อยู่ในหัวใจของคนที่กล้าเชื่อในตัวเองเสมอ







